กลายเป็นภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงและกวาดรายได้ไปอย่างถล่มทลาย สำหรับผลงานชิ้นล่าสุดของ Todd Phillips (ท็อดด์ ฟิลลิปส์) ที่หยิบเอาวายร้ายคู่ปรับตลอดกาลของ แบทแมน อย่าง โจ็กเกอร์ ที่รับบทโดยนักแสดงมากฝีมือ Joaquin Phoenix (วาคิน ฟีนิกซ์) ซึ่งน่าจะเป็นตัวเต็งในการเข้าชิงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมบนเวทีประกาศรางวัลออสการ์อย่างไม่ต้องสงสัย กับการแสดงที่แทบจะไร้ที่ติของเขาในบทบาทของตัวตลกที่มีชีวิตน่าหดหู่มากที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกภาพยนตร์
แม้ว่าตัวผู้กำกับจะเอ่ยปากพูดเองตั้งแต่แรกว่าผลงานโจ็กเกอร์ในฉบับของเขา จะเป็นการเขียนบทและตีความขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยไม่อิงกับตัวละครในฉบับคอมมิคเวอร์ชั่นใดเลยก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพของตัวร้ายขวัญใจมหาชนอย่างโจ็กเกอร์สามารถสร้างกระแสให้ผู้ชมสนใจหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ และกลายเป็นประกฎการณ์บนโลกโซเชียลนานนับเดือนก่อนที่หนังจะเข้าฉายให้เราได้ชมอย่างเป็นทางการเมื่อสัปดาห์ก่อน
เนื้อหาหลักของภาพยนตร์โจ็กเกอร์ในเวอร์ชั่นของ ท็อดด์ ฟิลลิปส์ จะเป็นการเล่าเรื่องราวของ Arthur Fleck (อาเธอร์ เฟร็ก) หนุ่มใหญ่ที่มีความใฝ่ฝันจะเป็นนักแสดง stand up comandy แต่ด้วยความสามารถและทักษะการแสดงเพียงน้อยนิด ทำให้เขาเป็นได้เพียงแค่นักแสดงตัวตลกที่ต้องคอยแต่งหน้าเพื่อรับงานถือป้ายโฆษณาและเล่นตลกให้กับเด็กที่ป่วยในโรงพยาบาลให้ชมเพียงเท่านั้น
ซึ่งตลอดระยะเวลากว่าสองชั่วโมงที่หนังเรื่องนี้ได้พาเราไปพบกับปัญหาที่รุมเร้ามากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโรคที่ไม่สามารถควบคุมการหัวเราะได้ของตัวอาเธอร์เอง และการที่ต้องใช้ชีวิตอาศัยร่วมกับแม่ที่มีอาการป่วยทางจิตในอพาร์ตเม้นท์สภาพทรุดโทรม รวมถึงสังคมที่มองเขาด้วยสายตาที่เหยียดหยาม สะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำที่ทำให้ตัวละครเอกกลายเป็นคนที่ต่ำต้อยและแปลกแยกจากสังคม โดยหนังจะค่อยๆ พาเราจมดิ่งไปกับความสิ้นหวังในจิตใจของอาเธอร์ก่อนที่เขาจะระเบิดมันออกมาอย่างบ้าคลั่งและกลายมาเป็นจอมวายร้ายในที่สุด

สิ่งหนึ่งที่ใครหลายคนหวาดกลัวก่อนหนังเข้าฉายคือการสลัดภาพของโจ็กเกอร์ในฉบับของ Heath Ledger (ฮีธ เลดเจอร์) ในภาพยนตร์ The Dark Knight ที่ทำไว้อย่างสมบูรณ์แบบจนยากที่ใครจะเทียบได้ เพราะแม้แต่นักแสดงยอดฝีมือที่ทุ่มเทให้กับทุกบทบาทอย่าง Jared Leto (จาเรด เลโท) ยังไม่สามารถก้าวข้ามงานแสดงที่สมบูรณ์แบบของฮีธ ไปได้ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับวาคิน เพราะการแสดงของเขาได้สร้างตัวละครโจ็กเกอร์ตนใหม่ในแบบฉบับของตนเองขึ้นมา และยังสามารถลบภาพของโจ็กเกอร์ในแบบฉบับของฮีธได้อย่างหมดจด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางสีหน้าและแววตา รวมไปถึงเสียงหัวเราะที่ก้องกังวาลแต่กลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ที่เขาใช้เวลาในการหาเสียงหัวเราะที่เหมาะสมกับบทนี้อยู่พักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจรับงานแสดงเรื่องนี้ ซึ่งเขาสามารถทำมันได้อย่างไร้ที่ติในส่วนของการแสดง และสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า วาคิน ฟีนิกซ์ ได้แบกหนังทั้งเรื่องไว้บนบ่าด้วยการแสดงตัวคนเดียว และเชื่อเถอะว่าถ้าโลกหลังความตายมีจริง ฮีธ เลดเจอร์ จะต้องยืนปรบมือให้กับการแสดงของวาคินอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่แท้

แม้ว่าจะทำรายได้อย่างถล่มทลายและกวาดคะแนนมาอย่างท่วมท้นจากแทบทุกสำนักรีวิว แต่ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าหนังเรื่องนี้จะยอมเยี่ยมจนไร้ที่ติ เพราะหากคุณเป็นคนที่ชอบเสพย์หนังรางวัลตามเทศกาลหรือเป็นคอหนังดราม่าในยุคเก่าที่อาจรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ใช้วิธีการเล่าเรื่องที่ง่ายเกินไปและสามารถเดาทางได้ไม่ยาก ซึ่งหนึ่งในหนังที่น่าจะมีอิทธิพลให้กับ ท็อด ฟิลลิปส์ ในการสร้างสรรค์โจ็กเกอร์ฉบับนี้คงหนีไม่พ้น Taxi Driver ของผู้กำกับชั้นครูอย่าง Martin Scorsese (มาร์ติน สกอร์เซซี่) ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศโดยรวมของภาพยนตร์ รวมไปถึงความกดดันจากสังคมจนส่งผลให้ตัวละครเอกระเบิดความวิปลาสออกมา ซึ่งเราจะได้เห็นภาพบางฉากที่ผู้กำกับทำออกมาเพื่อคารวะผลงานขึ้นหิ้งเรื่องนี้ โดยเฉพาะการที่เลือกนักแสดงนำของ Taxi Driver อย่าง โรเบิร์ต เดอ เนโร มารับบทเป็น เมอร์เรย์ แฟรงคลิน ที่เปรียบเหมือนกับไอดอลของอาเธอร์ก็น่าจะพอเดาได้แล้วว่า ท็อดส์ ฟิลลิปส์ ปลาบปลื้มภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวมากเพียงใด

แม้จะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในทรรศนะของผู้เขียน แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จัดอยู่ในระดับมาสเตอร์พีซที่คนรักหนังไม่ควรพลาดโอกาสไปชมในโรงภาพยนตร์ รวมถึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้คะแนน 10/10 จากนักวิจารณ์หลายท่าน และอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องยกเครดิตให้กับ ท็อดด์ ฟิลลิปส์ คือการเลือกที่จะสร้างภาพยนตร์ที่พาผู้ชมดำดิ่งไปถึงจุดสิ้นหวังในหัวใจมนุษย์ด้วยการใช้ตัวละครวายร้ายที่เข้าถึงผู้ชมทุกเพศทุกวัยอย่างโจ็กเกอร์ เพราะมีภาพยนตร์อีกจำนวนไม่น้อยที่อาจมีเรื่องราวที่เทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่าโจ็กเกอร์ แต่กลับตกม้าตายในเรื่องของการโปรโมทและความยากในการเข้าถึงจนไม่สามารถเข้าไปนั่งในหัวใจของคนส่วนใหญ่ได้ และยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าหากท็อดด์ใช้วิธีการนำเสนอด้วยตัวละครอื่นหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้อย่างไร ดังนั้นในมุมมองของผู้เขียนภาพยนตร์เรื่องนี้เปรียบได้กับการนำเอางานศิลปะที่หาชมยากในพิพิธภัณฑ์ออกมาวางริมถนนให้คนทั่วไปสามารถดื่มด่ำและสัมผัสความงามได้กลมกลืนและแนบเนียนอย่างน่าเหลือเชื่อ
