กลายเป็นหนึ่งในหนังที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในปีนี้เป็นที่เรียบร้อยสำหรับ JOKER ของผู้กำกับ Todd Phillips ที่ได้นำพาทุกท่านดำดิ่งสู่ความมืดมิดและสิ้นหวังในหัวใจมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ข้อครหา แต่หากลองมองย้อนกลับไปในอดีตของวงการภาพยนตร์ JOKER ไปใช่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่หยิบเอาประเด็นดังกล่าวมาเล่น และยังมีหนังอีกจำนวนไม่น้อยที่หยิบเรื่องของจิตใจมนุษย์มาตีแผ่และนำเสนอในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมีหนังหลายเรื่องที่สามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมจนกลายเป็นตำนานของโลกภาพยนตร์เช่นเดียวกับหนังที่เราจะนำมาแนะนำคุณในวันนี้

Apocalypse Now หรือ กองพันอำมิต ภาพยนตร์คลาสสิคจากปี 1979 ผลงานของผู้กำกับชั้นครูอย่าง Francis Ford Coppola ผู้เคยฝากผลงานระดับมาสเตอร์พีซประดับวงการภาพยนตร์มาแล้วด้วย The Godfather ทั้งสามภาค เช่นเดียวกับ Apocalypse Now ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยภาพยนตร์ชิ้นนี้ก็ยังคงเป็นหนึ่งในหนังขึ้นหิ้งที่คนรักหนังควรจะหาโอกาสดูให้ได้สักครั้งในชีวิต รีวิวนี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนเพื่อการเล่า แต่จะพยายามไม่พูดถึงเนื้อหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่ยังไม่เคยรับชมหนังเรื่องนี้มาก่อน
หนังเรื่องนี้ถูกดำเนินเรื่องผ่านภารกิจของนายทหารหนุ่ม Robert L. Willard ซึ่งรับบทโดย Martin Sheen ทการผู้ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ในเวียดนามเพื่อรอวันถูกเรียกตัวเพื่อไปทำภารกิจ ซึ่งตัวละครของ Willard คือตัวแทนของทหารที่ได้รับผลกระทบต่อสงคราม เสพติดความรุนแรง และมีปัญหาในการเข้าสังคม ส่งผลให้เขาเลือกที่จะไม่กลับบ้านและรอคอยอย่างมีหวังเพื่อที่จะได้ทำอะไรสักอย่างในเวียดนาม จนอยู่มาวันหนึ่ง Willard ก็ได้รับภารกิจจากกองทัพให้ออกตามหาผู้พัน Walter E. Kurtz อดีตนายทหารฝีมือดีที่เสียสติและกลายเป็นฆาตกรผู้โหดเหี้ยม ที่รับบทโดย Marlon Brando ซึ่งหน้าที่ของ Willard คือการลอบเข้าไปในกองพันของ Kurtz เพื่อที่จะสังหารเขาให้ได้


ภาพยนตร์ทั้งเรื่องโฟกัสไปที่การเดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจของ Willard โดยใช้มุมมองที่เขามีต่อสิ่งรอบตัวมาเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงสภาพอันเลวร้ายของสงคราม ทั้งความรุนแรง ความหิวโหย รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครที่กระทำไปอย่างไร้เหตุผลราวกับคนเสียสติ โดยอ้างเหตุผลเพื่อความถูกต้องมาใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำของตนเอง นั่นจึงเป็นพฤติกรรมของตัวละครในเรื่องที่ค่อนข้างมีความสุดโต่งและเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปอย่างเราจะจินตนาการหรือปฏิบัติ ด้วยพิษของสงครามที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจ และเริ่มเปลี่ยนแปลงกระบวนการคิดและพฤติกรรมของตัวละครโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
แม้จะเป็นหนังที่ค่อนข้างจะมีเนื้อหาที่หนักแต่ Apocalypse Now ก็ยังพอมีฉากการสู้รบที่อลังการสำหรับการเป็นหนังสงครามอยู่บ้าง อย่างเช่นฉากการระเบิดหมู่บ้านเวียดกง ที่เกิดขึ้นเพียงเพราะความต้องการของผู้บัญชาการ Bill Kilgore ซึ่งถือเป็นฉากการสู้รบด้วยเฮลิคอปเตอร์ที่สมจริงมากที่สุดเรื่องหนึ่งนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแม้จะปราศจากการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกเหมือนภาพยนตร์ยุคนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าฉากการยิงถล่มที่เร้าใจ คือความรู้สึกของเหล่าทหารอเมริกันที่ไม่ได้มีการแสดงความรู้สึกผิดหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อยกับการการะทำดังกล่าว


ตลอดเส้นทางการเดินทางของ Willard เราจะเริ่มพบกับการเปลี่ยนแปลงของเขาเพิ่มขึ้นทีละน้อย ด้วยความกดดันของภารกิจ การแตกความเห็นกันเองในกลุ่ม รวมถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องเจอตลอดการเดินทาง จนมาถึงจุดเปลี่ยนหนึ่งที่ทำให้เราเห็นว่าเขาได้กลายสภาพเป็นนายทหารจอมอมหิตที่่สามารถสังหารคนได้อย่างไร้เหตุผลไม่ต่างอะไรกับผู้พัน Kurtz ที่เขากำลังติดตามอยู่เลยแม้แต่น้อย
แม้ตัวหนังจะถูกดำเนินเรื่องอย่างเนิบช้าตามแบบฉบับหนังยุคเก่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องคุ้นชินสำหรับแฟนหนังยุคนี้ แต่ในความเชื่องช้านั้นก็กลับเต็มไปด้วยรายละเอียดที่สามารถตีความและสื่อความหมายออกมาได้อย่างมีนัยยะสำคัญแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบทพูดต่างๆ ของตัวละครที่มักจะถูกนำไปใช้ในการสอนวิชาภาพยนตร์หรือจิตวิทยาอยู่บ่อยครั้ง เพราะ Apocalypse Now คือภาพสะท้อนความอมหิตที่ถูกกระทำต่อมนุษย์ด้วยกัน และผลพวงจากสภาพแวดล้อมในสงครามที่จะนำพาจิตใจของผู้ที่เกี่ยวข้องดำดิ่งไปสู่ความมืดมิดตลอดกาล
